logo
กรมธนารักษ์
สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ชัยนาท
THE TREASURY
DEPARTMENT
MENU
  • A
  • A
  • A

ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของจังหวัดชัยนาท

       ประวัติความเป็นมา
 
       เมืองชัยนาทเป็นเมืองโบราณ ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ตรงทางแยกฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากน้ำเมืองสรรค์ (ปากคลองแพรกศรีราชาใต้ปากลำน้ำเก่า) เมืองนี้ตั้งขึ้นภายหลังเมืองพันธุมวดี (สุพรรณบุรี) เป็นเมืองหน้าด่านของกรุงสุโขทัย จากศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหงมีแต่ชื่อเมืองแพรกส่วนเมืองชัยนาท เพิ่งมาปรากฏในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เมื่อ พ.ศ.1890 ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าเลอไทสวรรคตกรุงสุโขทัยเกิดการแย่งชิงราชสมบัติสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงยกกองทัพเข้ายึดเมืองชัยนาท หลังจากพระยาลิไทขึ้นครองราชย์ทางกรุงศรีอยุธยาซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้สถาปนาให้เป็นราชธานีมีกำลังเข้มแข็งมากจึงได้โปรดให้ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งครองเมืองสุพรรณบุรียกทัพมาตีเมืองชัยนาทซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงสุโขทัย เมืองชัยนาทจึงตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา โดยมีขุนหลวงพะงั่วเป็นผู้รักษาเมืองเมื่อกรุงสุโขทัยสงบแล้ว พระยาลิไท ได้ส่งทูตมากรุงศรีอยุธยาเพื่อเจรจาขอเมืองชัยนาทคืนให้แก่กรุงสุโขทัยโดยจะยอมให้เป็นอิสระและมีสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน กล่าวคือ ต่างฝ่ายต่างก็มีอิสระต่อกัน ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาได้คืนเมืองชัยนาทให้แก่กรุงสุโขทัยนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าการที่แคว้นกัมพุช (ลพบุรี) เข้าร่วมมือในการรบประกอบกับกรุงศรีอยุธยากำลังสถาปนาได้ไม่นานถ้ามีศึกกระหนาบสองด้านจะสร้างปัญหาให้ไม่น้อย ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาคืนเมืองชัยนาทแก่กรุงสุโขทัยโดยดี
 
       อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องเมืองชัยนาทระหว่างกรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยาก็หาได้ยุติไม่ เพราะในปี พ.ศ.1912 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เสด็จสวรรคตทำให้สถานการณ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงสุโขทัยกลับตึงเครียดขึ้นอีก เมื่อขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชย์แล้วได้เสด็จยกทัพมาโจมตีกรุงสุโขทัยในปี พ.ศ.1914 แต่ไม่มีฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะสงครามยืดเยื้อกันมาเป็นเวลานานจนขุนหลวงพะงั่วเสด็จสวรรคต นักประวัติศาสตร์เข้าใจว่าเมืองชัยนาทกลับเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา อีกครั้ง เพราะจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอสรุปได้ว่าเมืองชัยนาทแต่เดิมเป็นเมืองลูกหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช โอรสองค์ที่ 5 ของขุนหลวงพระงั่ว พระองค์เข้าพระทัยว่าในการข้างหน้ากรุงสุโขทัยจะต้องไม่มีเชื้อพระวงศ์สุโขทัยปกครองอีกต่อไป เพื่อที่จะให้ราชโอรสทั้ง 3 ของพระองค์ได้ครอบครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ และคุ้นเคยกับการปกครองบ้านเมือง จึงโปรดให้โอรสองค์ใหญ่ ซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าอ้ายพระยา ไปครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยาโอรสองค์ที่ 2 ไปครองเมืองแพรก หรือตรัยตรึงษ์ (อำเภอสรรคบุรีในปัจจุบันนี้ ) เจ้าสามพระยาโอรสองค์ที่3ไปครองเมืองชัยนาท
 
       ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนครินทราชาธิราชเสด็จสวรรคตความทราบถึงเจ้ายี่พระยาก่อนจึงได้เตรียมการที่จะขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาสืบแทนต่อจากพระราชบิดา ฝ่ายเจ้าอ้ายพระยาเมื่อสืบทราบว่า พระราชอนุชายกกองทัพไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อต้องการจะครอบครองราชย์สมบัติจึงรีบยกกองทัพไปบ้างประสงค์จะขึ้นครองราชสมบัติเช่นกันกองทัพทั้งสองพบกันที่ตำบลปาถ่านแขวงกรุงศรีอยุธยาจึงเกิดรบพุ่งกันในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ลงทั้งสองพระองค์พร้อมกันด้วยการกระทำยุทธหัตถี ฝ่ายเจ้าสามพระยา ซึ่งขณะนั้นครองเมืองชัยนาทอยู่ เมื่อสมเด็จพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ ทั้งสองพระองค์แล้วจึงได้ขึ้นเสวยราชย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบแทนพระราชบิดาทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2
 
       พ.ศ.1994 พระเจ้าติโลกราช ครองเมืองเชียงใหม่ยกทัพมาตีเมืองกำแพงเพชรได้แล้ว ส่งกำลังเข้ามากวาดต้อนผู้คนถึงเมืองชัยนาท เข้าใจว่าเมืองชัยนาทจะถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้างในคราวนั้นเอง เวลาได้ล่วงมาได้ประมาณ 100 ปีเศษ ถึงรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิครองกรุงศรีอยุธยา ทรงสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อเตรียมต่อสู้กับพม่าจึงเสด็จขึ้นไปกระทำพระราชพิธีมัธยมกรรม ที่ตำบลชัยนาทบุรีแล้วตั้งเมืองชัยนาทขึ้นใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมืองเดิม
 
       พ.ศ. 2127 พระเจ้าเชียงใหม่ (มังนรธาช่อ) ได้ยกกองทัพหลวงมาตั้งที่เมืองชัยนาท ครั้นทัพหน้าที่เข้ามาตั้งที่ปากคลองบางพุทราถูกพระราชมนูตีถอยกลับไปแล้ว พระเจ้าเชียงใหม่ก็ถอยทัพไปตั้งที่กำแพงเพชร
 
       ตามหลักฐานของกรมศิลปากร จังหวัดชัยนาทเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2319 ตรงกับวันเสาร์ เดือน 9 ขึ้น 12 ค่ำ (วันที่ 28 กรกฏาคม 2319) พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ยกกองทัพขึ้นมาขับไล่ ซึ่งกำลังรบติดพันกับไทยที่นครสวรรค์ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จมาถึงเมืองชัยนาทแล้วทัพพม่าได้ข่าวก็ตกใจเกรงกลัวจึงละทิ้งค่ายที่นครสวรรค์แตกหนีไปทางเมืองอุทัยธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกกองทัพติดตามข้าศึกจนถึงบ้านเดิมบางนางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรี และเข้าโจมตีข้าศึกจนแตกยับเยินด้วยเหตุนี้ทางจังหวัดชัยนาทจึงถือว่า วันที่ 28 กรกฎาคม เป็นวัน " สถาปนาจังหวัด ” 
 
       โดยที่เมืองชัยนาทตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภาคกลาง ตั้งอยู่ระหว่างกรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยา ในยามใดที่กรุงสุโขทัยเรืองอำนาจ ก็ยึดเอาเมืองชัยนาทเป็นเมืองหน้าด่านแต่ยามใดที่กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจ และกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองเมืองชัยนาทก็จะเป็นเมืองสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ของกรุงศรีอยุธยา แม้แต่ในสมัยกรุงธนบุรี เมืองชัยนาทก็ยังเป็นที่ตั้งทัพหลวงในการทำศึกกับพม่า ด้วยเหตุนี้เมืองชัยนาทจึงได้รับความระทบกระเทือนจากสงครามอย่างมากเป็นเวลานับร้อยปีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้สร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นที่ตำบลบ้านกล้วย ครั้นถึงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงตั้งกองทหารราบที่ 16 ขึ้นที่เมืองชัยนาท ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน และเมื่อกองทหารราบที่ 16 ได้ย้ายไปที่นครสวรรค์จึงย้ายศาลากลางไปตั้งในบริเวณที่เป็นกองทหารราบที่ 16
 
       สำหรับเมืองชัยนาทนี้จะได้นามมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่นอน ถ้าจะแปลความหมายของ "ชัยนาท” ก็น่าจะได้ความว่า เมืองที่มีชื่อเสียงในทางความมีชัย เป็นที่น่าสันนิษฐานว่าชื่อเมืองชัยนาทนี้คงจะได้ตั้งขึ้นภายหลังจาก พ.ศ.1702 แต่คงไม่ถึง พ.ศ.1946 กล่าวคือ ขุนเสือ ขวัญฟ้า หรือเจ้าคำฟ้า กษัตริย์เมืองเมาเข้าทำสงครามกับอาณาจักรโยนกเจ้าเมืองฟังคำ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในอาณาจักรโยนก หลังจากฟังคำแตก เจ้าเมืองฟังคำจึงอพยพผู้คนลงมาที่เมืองแปบ (กำแพงเพชร) แล้วสร้างเมืองตรัยตรึงษ์ ที่ตำบลแพรก ( ต.แพรกศรีราชาในปัจจุบัน ) หลังจากนั้นคงจะได้สร้างเมืองชัยนาทขึ้น และเหตุที่ตั้งชื่อชัยนาทคงเนื่องจากการรบชนะเจ้าของท้องถิ่นเดิม ส่วนที่กล่าวว่านามชัยนาทคงจะได้มาก่อน พ.ศ.1946 นั้น เนื่องจากสมเด็จพระนครินทราธิราชได้โปรดให้เจ้าสามพระยาไปครองเมืองชัยนาท ตามความในประวัติศาสตร์ พอจะเป็นสิ่งที่สันนิษฐานกันได้ว่า คำว่าชัยนาท คงจะได้ชื่อมาก่อนปี พ.ศ.1946 อย่างไรก็ตาม คำว่า "ชัยนาท” ก็เป็นนามที่เป็นศิริมงคลมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน เพราะชัยนาท ก็ยังบันลือไปด้วยชัยชนะต่อความอดอยากหิวโหยยังความผาสุกให้แก่ชาวชัยนาทและจังหวัดใกล้เคียงตลอดลุ่มแม่น้ำจ้าพระยาท่าจีนและแม่น้ำน้อย จนถึงปัจจุบัน
 
       นอกจากชัยนาทจะเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานแต่ปัจจุบันชัยนาทก็มีชื่อเสียงและมีสินค้าด้านหัตถกรรมการจักสาน การปั้น การทอ การทำเครื่องเบญจรงค์ ที่มีฝีมือปราณีต รูปแบบทันสมัย ราคาย่อมเยา มีตลาดการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยฝีมือของชาวบ้านกลุ่มต่าง ๆ อีกด้วย
15 กุมภาพันธ์ 2562 | จำนวนเข้าชม 1176 ครั้ง